•มีเลือดปนมาในอุจจาระ
•การมีเลือดออกทางทวารหนัก
•อุจจาระมีขนาดเล็กลง
•ปวดถ่ายอุจจาระบ่อยๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
•อุปนิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น
เคยถ่ายอุจจาระทุกวันก็เปลี่ยนไปมีอาการท้องผูก
•อาการท้องผูกสลับท้องเสีย
•ลำไสอักเสบเรื้อรัง
•ปวดมวนท้อง
•อาจคลำได้ก้อนในช่องท้อง
ซึ่งมักเป็นทางด้านขวาตอนล่าง
•อาการปวดเบ่งบริเวณทวารหนักคล้าย
ปวดอุจจาระตลอดเวลา
•น้ำหนักลดโดยไม่ทราบเหตุ
•อาจมีอาการซีด อ่อนเพลีย และน้ำหนักตัวลด
•ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการของลำไส้อุดตัน
คือ ปวดท้องอย่างรุนแรงคล้ายลำไส้ถูกบิด แต่เป็นอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วก็ทุเลาไป
และกลับเป็นใหม่อีกร่วมกับการไม่ถ่ายอุจจาระ ไม่ผายลม เป็นต้น
•นอกจากนี้ยังพบว่า
อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ก้อนมะเร็งตั้งอยู่ เช่น
-มะเร็งที่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น
ซึ่งอุจจาระยังเหลวมากนั้น อาการจะปรากฏใน
รูปของเลือดออก โลหิตจาง อ่อนเพลีย
ใจสั่น หายใจลำบาก
-มะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ส่วนขวางอาจปรากฏอาการปวดท้อง
ท้องอืด เลือดออก
-มะเร็งที่สำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
และลำไส้ตรงอาจปรากฏอาการแสดงของอุจจาระ ที่มีก้อนเล็กลง การขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ
ปวดท้องถ่าย
มะเร็งของลำไส้ใหญ่ทุกส่วนมีโอกาสปล่อยเลือดออกมาทั้งเลือดสดๆ
หรือเลือดเก่า จึงขอให้สังเกตดู
หากมีลักษณะสีของอุจจาระเปลี่ยนไปขอให้ปรึกษาคุณหมอทันที
1.การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารต่ำหรืออาหารที่มีปริมาณ
Calcium น้อย
ทำให้เกิดอาการท้องผูก/ท้องเสียบ่อยๆและเป็นเวลานาน
2.เกิดก้อนเนื้องอกขึ้นในระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่บริเวณลำไส้
ซึ่งอาจเกิดจากปฏิกิริยา Oxidation ได้
3.อาการที่สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
ซึ่งผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้มาก่อนก็จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้ได้สูงขึ้น
4.รับประทานอาหารที่มีไขมันในปริมาณสูง
5.มีการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายและไปตกค้างที่ลำไส้
6.เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณลำไส้เกิดการเสื่อมสภาพ
สูญเสียความยืดหยุ่นไป
ทำให้เลือดไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงที่บริเวณลำไส้ได้อย่างเพียงพอ
การตรวจเพื่อการวินิจฉัย สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการตรวจอุจจาระ
เพื่อดูว่ามีเลือดในอุจจาระ หรือไม่
ซึ่งในระยะแรกอาจจะมีปริมาณน้อยจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
และหากรอยโรคอยู่ใกล้ทวาร หนัก อาจตรวจพบได้โดยการใช้นิ้วสอดเข้าตรวจทางทวารหนัก
เมื่อพบเลือดในอุจจาระ หรือสงสัยในอาการ จึง
ตรวจเอ๊กซเรย์ลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนแป้งและการส่องกล้องเข้าทางทวารหนัก
เพื่อตรวจและตัดชิ้นเนื้อ
การตรวจเลือดดูระดับโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างโดยเซลล์มะเร็ง คือ CEA (Carcino-embryonic
Antigen) จะมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยได้มาก
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ทำได้หลายวิธี เช่น ผ่าตัด เคมีบำบัด
รังสีรักษา ขึ้นกับระยะของโรค ตำแน่ง ขนาดของก้อนมะเร็ง
และสภาพความแข็งแรงของผู้ป่วย
ในปัจจุบันหลังจากมีการศึกษาค้นพบหน่วยพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
จีงได้มีการพัฒนาวิธีการตรวจเพื่อจะบอกว่าผู้ใดมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่มีวิธีหลักอยู่ 3 วิธี
ได้แก่การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก การใช้ยาไปทำลายเซลล์มะเร็ง
และการทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งต่างๆ ด้วยการฉายรังสี
การเลือกวิธีในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งมากน้อยเพียงใด มีการลุกลาม
หรือแพร่กระจายหรือไม่ และสภาพร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้นเหมาะสมกับวิธีใดมากที่สุด
การแบ่งระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับวางแผนการรักษา
หลังจากวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว แพทย์จะแบ่งระยะของโรค
โดยแบ่งตามการแพร่กระจายของโรค ระยะที่ 0, 1, 2, 3, 4 ดังนี้
Stage 0
โรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น มะเร็งอยู่เฉพาะผิวของลำไส้
Stage 1
มะเร็งอยู่เฉพาะผนังลำไส้ ยังไม่แพร่ออกนอกลำไส้
Stage 2
มะเร็งแพร่ออกนอกลำไส้ แต่ยังแพร่ไม่ถึงต่อมน้ำเหลือง
Stage 3 มะเร็งแพร่ไปต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
แต่ยังไม่แพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ
Stage 4
มะเร็งแพร่ไปอวัยวะอื่นโดยมากไปยังตับและปอด
Recurrent เป็นมะเร็งซ้ำหลังจากการรักษา
ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 3, 4
ถือว่าเป็นระยะโรคลุกลาม ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร
การผ่าตัดอาจตัดก้อนได้ไม่หมด โอกาสเกิดเป็นซ้ำค่อนข้างสูง
แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่ามีผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งที่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดภายหลังการผ่าตัดดีมาก
แม้ว่าจะอยู่ในระยะโรคลุกลามแล้วก็ตาม โดยสูตรยาที่ใช้ประกอบด้วย irinotecan
เป็นหลัก อาจใช้เดี่ยวๆ หรือร่วมกับ 5-flourouracil (5-FU)
ปัญหาคือก่อนหน้านี้
แพทย์ไม่สามารถทราบล่วงหน้าว่าผู้ป่วยรายใดอยู่ในกลุ่มที่จะได้ผลตอบสนองต่อเคมีบำบัดหลังผ่าตัด
รายใดอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้ผล จึงทำให้เกิดเป็นความยากลำบากในการตัดสินใจวางแผนการรักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่โรคลุกลาม
ปัจจุบันเกิดความรู้ใหม่พบว่าสิ่งที่ช่วยทำนายผลการรักษาในกรณีดังกล่าวได้คือปริมาณดีเอ็นเอในเซลล์มะเร็ง
ปริมาณดีเอ็นเอในเซลล์มะเร็ง เรียกว่า DNA content พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลามที่มีดีเอ็นเอเป็นชนิด tetraploid,
peri-tetraploid และ multiploid tumours จะตอบสนองดีมากต่อยาเคมีบำบัดสูตร
irinotecan + 5-FU ซึ่งให้ยาหลังผ่าตัด
ซึ่งผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้จะเกิดผลอย่างใหญ่หลวงต่อการเลือกผู้ป่วยที่แพทย์วางแผนล่วงหน้าได้ว่า
จะเป็นกลุ่มที่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดหลังผ่าตัด
ในทางกลับกัน ด้วยแนวคิดและเทคนิกการตรวจ DNA content ของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่
ก็จะช่วยให้แพทย์ทราบว่าผู้ป่วยรายใดจะไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดหลังผ่าตัด
และเลือกการรักษาวิธีอื่นแทนซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จในการรักษาโรคดังกล่าว
เช่นเลือกใช้วิธีฉายแสงเป็นต้น ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดสูตร irinotecan
+ 5-FU ได้แก่ ผู้ที่มีดีเอ็นเอเป็นชนิด diploid,
peri-diploid และ aneuploid tumours
แม้จะยังไม่มีวิธีกำจัดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
100% แต่ก็มีวิธีลดความเสี่ยงลงได้
เช่น บริโภคอาหารที่อุดมด้วยผักและผลไม้เพื่อให้มีเส้นใยหรือกากอาหารมากขึ้น
อุจจาระจะมีขนาดโตขึ้น จนขับถ่ายง่ายขึ้น ไม่คั่งค้างในลำไส้ใหญ่นานเกินไป
จนปล่อยสารเคมีที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ของเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่
ออกกำลังกายอย่าสม่ำเสมอจะได้ทั้งการลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่
และยังช่วยลดความอ้วน การใช้ฮอร์โมนเสริมในหญิงวัยหมดประจำเดือน
ปัจจุบันนี้วงการแพทย์แนะนำให้คนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปปรึกษาคุณหมอ
เพื่อช่วยพิจารณาความเสี่ยงแล้วให้รับการส่องกล้องตรวจดูลำไส้ใหญ่ปีละครั้ง
เพื่อตรวจคัดว่ามีมะเร็ง รือโพลิป
หรือไม่เพื่อจะได้วินิจฉัยและรักษาให้หายขาดได้แต่เนิ่น
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย ที่
คุณ วราพร แคล้วศึก
โทร. 085-9083178
อีเมลล์ pannfitcancer@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น